7.4.55

มาตาปิตุอถปภานัง

นิมิตตัง สาธุรูปานัง กะตัญญูกะตเวทิตา มาตาปิตุอุปะฐานัง ติ มาตาปิตุพรหมจริยัง อิโตปรัง สักกัจจัง โสตัพโพติ
- ຄວາມກະຕັນຍູ ກະຕະເວທີ ເປັນເຄື່ອງໝາຍຂອງຄົນດີ, ການອຸປະຖາກບິດາມານດາ ເປັນມຸງຄຸນຢ່າງຍິ່ງ ເພາະບິກາ ມານດາ ເປັນພຣົມຂອງບຸດ.
อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ มงคลสูตรในขุททกปาฐะ
หน้าต่างที่   ๔ / ๔.
               พรรณนาคาถาว่า มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ             
               บัดนี้ จะพรรณนาในคาถานี้ว่า มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ.
               มารดาและบิดา เหตุนั้น ชื่อว่า มารดาและบิดา. บทว่า อุปฏฺฐานํ แปลว่า การบำรุง.
               บุตรทั้งหลายด้วย ภรรยาทั้งหลายด้วย ชื่อว่าบุตรและภรรยา การสงเคราะห์ชื่อว่า สังคหะ.
               การงานคือกิจกรรมอากูลหามิได้ ชื่อว่า ไม่อากูล.
               คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้นแล. นี่เป็นการพรรณนาบท.
               ส่วนการพรรณนาความ พึงทราบดังนี้.
               สตรีผู้ยังบุตรให้เกิด เรียกชื่อว่า มารดา บิดาก็เหมือนกัน. การทำอุปการะด้วยการล้างเท้านวดฟั้นขัดสี ให้อาบน้ำ และด้วยการมอบให้ปัจจัย ๔ ชื่อว่า การบำรุง. ในการบำรุงนั้น เพราะเหตุที่มารดาบิดามีอุปการะมาก หวังประโยชน์อนุเคราะห์บุตรทั้งหลาย มารดาบิดาเหล่าใดแลเห็นบุตรทั้งหลายเล่นอยู่ข้างนอก เดินมามีเนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ก็เช็ดฝุ่นให้ จูบจอมถนอมเกล้า เกิดความรักเอ็นดู บุตรทั้งหลายใช้ศีรษะทูนมารดาบิดาไว้ถึงร้อยปี ก็ไม่สามารถจะทำปฏิการะสนองคุณของมารดาบิดานั้นได้ และเพราะเหตุที่มารดาบิดานั้นเป็นผู้ดูแลบำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้ สมมตว่าเป็นพรหม สมมตว่าเป็นบุรพาจารย์ ฉะนั้น การบำรุงมารดาบิดานั้น ย่อมนำมาซึ่งการสรรเสริญในโลกนี้และละโลกไปแล้วก็จะนำมาซึ่งสุขในสวรรค์ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่าเป็นมงคล
               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑-
                         มารดาบิดา ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ เป็น
               อาหุเนยยบุคคลของบุตร เป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะ
               ฉะนั้น บัณฑิตพึงนอบน้อม และพึงสักการะมารดาบิดา
               นั้น ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การขัดสี การให้อาบน้ำและ
               ล้างเท้า. เพราะการปรนนิบัติมารดาบิดานั้น บัณฑิต
               ทั้งหลายจึงสรรเสริญเขาในโลกนี้ เขาละโลกไปแล้ว
               ยังบรรเทิงในสวรรค์.

ลูกเอ๋ย...ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่
    เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด
    เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย !...

พระพุทธองค์ตรัสสอนพระมหาคุณอันยิ่งใหญ่ของบุพการีผู้ให้กำเนิดอุ้มชูเลี้ยงดูฟูมฟักจนเติบใหญ่ ...
เราผู้เป็นลูกพึงรู้สำนึกในความกตัญญูกตเวทีที่ทดแทนพระคุณในขณะที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่...
มิใช่ทรัพย์สินเงินทอง..มิใช่ความเก่งกาจทรนง ...
หรือแม้เราจะควานหาทุกสิ่งจนเจนจบใต้หล้าทั่วแผ่นพื้นปฐพีนี้...
พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า...ไม่อาจที่จะนำมาทดแทนคุณบุพการีได้เลย ...
แล้วมีสิ่งไหนเล่าที่จะทดแทนได้ ?...
ในกาลนั้น พระตถาคตเจ้าได้เปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ๘ ประการ ของพรหม ตรัสแด่ปวงชนทั้งหลายว่า.... "เธอทั้งหลายพึงสำเหนียก เราจักแสดงแก่เธอ.....

หากมีบุรุษ หาบบิดาด้วยไหล่ซ้าย  หาบมารดาด้วยไหล่ขวา ...
แบกหามหาบนั้นจนผิวหนังแตกทะลุถึงกระดูก ...
จากกระดูกถึงไขกระดูก ...
หาบวนรอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลาผ่านไปนับ แสนกัป ...
โลหิตไหลท่วม ข้อเท้า ...
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้ ...
หากบุรุษ ปรารถนาให้บิดามารดาพ้นจากทุพภิกขภัย ...
แล่เนื้อตนเอง และบดให้ละเอียด ให้บิดามารดาเป็นอาหาร ...
แม้จักกระทำถึง แสนกัป ...
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้ ..
หากมีบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
ใช้มีดคว้านควักดวงตาของตน ออกมาถวายบูชาแด่พระตถาคต ...
แม้จะกระทำนับ แสนกัป ...
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้...
หากมีบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
ใช้มีดอันคมควักหัวใจของตน โลหิตไหลทั่วพื้นปฐพี ...
มิหวั่นต่อความเจ็บปวด ...
แม้จักกระทำนับ แสนกัป ...
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้...
หากมีบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
ใช้มีดง้าวศาตราวุธนับแสน เสียบทิ่มแทงจนทะลุปรุพรุนไปทั่วร่าง ...
แม้จักกระทำนับ แสนกัป
ก็มิ อาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้....
หากบุรุษ. เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
ทุบกระดูกตน รีดไขกระดูกเ็ป็นเชื้อไฟจุดประทีปถวายเบื้องหน้าพระตถาคต...
แม้จักกระทำนับ แสนกัป ...
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่ง ใหญ่ของบิดามารดาได้ ...
หากบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
กลืนกินลูกเหล็กที่ร้อนระอุ ...
แม้จักกระทำนับ แสนกัป จนทั่วร่างกายลุกเป็นไฟ ...
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้...
หากบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
เอาร่างฝ่ากระโจนเข้าไปในกองไฟ จนไหม้เกรียมเป็นผุยผง ...
แม้จักกระทำนับ แสนกัป ....
ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้..."
ปวงชนทั้งหลาย เมื่อได้สดับรับฟังพระพุทธดำรัสถึงความยิ่งใหญ่ ของพระคุณบิดามารดาเช่นนั้น ...ต่างหลั่งน้ำตาด้วยความปวดร้าวใจ ดุจดังมีดกรีด ด้วยมิอาจคิดหาวิธีได้ ...
ต่างพร้อมเพรียงกันกราบทูล พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความละอายและเกรงกลัวต่อบาปในสังสารวัฎ ว่า....
" ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้บาปยิ่งนัก จักกระทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ลึกซึ้งของ บิดามารดาได้ ? "

พึงเขียนแสดงพระสูตรนี้ ... (บอกกล่าวและเผยแผ่)
สวดท่องพระสูตรนี้ขอขมากรรมเพื่อบิดามารดา ...
ถวายสักการะแด่พระรัตนตรัยเพื่อบิดามารดา ...

พึงรักษาศีลอุโบสถเพื่อบิดามารดา ...
พึงบำเพ็ญทานเพื่อบิดามารดา ...
พึงชี้แนะธรรมะแด่บิดามารดา ...

หากประพฤติปฏิบัติได้เยี่ยงนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นบุตรกตัญญู...
หากไม่ประพฤติเยี่ยงนี้ ย่อมไม่อาจพ้นนรกโลกันต์ " ...

คุณของบิดา-มารดา คือ พระอรหันต์ของ บุตร
มารดา บิดา เป็นบุคคลที่รู้จักกันทั่วโลก
คนเราเกิดมาเห็นโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้
เพราะมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด
เป็นผู้ให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายแก่ลูก
ซ้ำมารดาบิดายังบำเพ็ญตนเป็นยอดนักบุญ
สำหรับชีวิตของลูกอีกด้วย
เป็นผู้เสียสละความสุขของตนเองทุกๆ อย่าง
เฝ้าทะนุถนอมเอาใจใส่ลูกทุกเวลา
ทำทุกอย่าง เพื่อความผาสุขของลูก
ลูกต้องการปรารถนาสิ่งใด อันเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย
ก็พยายามจัดหาให้ทุกอย่าง เป็นผู้ใกล้ชิดลูกยิ่งกว่าใครๆ
ทุกคนจึงรู้จักมารดาบิดาดี

ส่วนลูกส่วนมาก หารู้จักและซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาไม่
คงรู้จักแต่เพียงว่าชายผู้ให้กำเนิดแก่คนเรียกว่า บิดา
หญิงผู้ให้กำเนิดแก่ตนเรียกว่า มารดา เท่านั้น
แท้จริงแล้ว ท่านผู้ให้กำเนิดทั้งสองนั้น เป็นผู้มีพระคุณมากมาย
สุดที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ จะทดแทนพระคุณให้สิ้นสุดได้

เพราะเหตุนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถของโลก
ทรงซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร
ว่าเป็นพระพรหม เป็นบุรพเทวดา
เป็นบุรพาจารย์ เป็นอาหุเนยยบุคคล ของบุตรดังนี้

มารดา บิดา เป็นผู้ที่มั่นคงในพรหมวิหารธรรม
โดยไม่ยอมทิ้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในลูกของตน
ย่อมมีเมตตารักใคร่ในลูก
ปรารถนาจะเห็นลูกของตนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส
มีกรุณา สงสาร เมื่อลูกของตนต้องประสบความทุกข์
คิดแต่จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
มีความสุขความเจริญ เมื่อเห็นว่าลูกของตนมีความสุข
สามารถเลี้ยงและปกครองตนเองและครอบครัวให้มีความสุขได้
ก็พลอยมีมุทิตายินดีด้วย ไม่อิจฉาริษยาในความสุขของลูก
เมื่อเห็นลูกต้องประสบทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่ซ้ำเติม
วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลางเสมอ
มารดาบิดา จึงเป็นดุจท้าวมหาพรหมที่ไม่เคยละภาวนา ๔ ในหมู่สัตว์
จึงได้รับนามบัญญัติว่าเป็น “พระพรหมของลูก”

มารดา บิดา เป็นผู้พิทักษ์รักษาลูกก่อนเทวดาทั้งปวง
นับตั้งแต่ลูกในครรภ์ เมื่อลูกเกิดมาแล้ว ก็เอาใจใส่ดูแล
แม้บางคราวลูกทุบตีตน เพราะไม่รู้เดียงสา
แทนที่มารดาบิดาจะเกลียดและโกรธ
กลับยกโทษให้และยังเพิ่มความรักใคร่ในลูกของตนเสียอีก
ไม่คำนึงถึงความผิดใดๆ ของลูกทั้งสิ้น
บางครั้งลูกทำผิด มารดาบิดาก็ดุว่ากล่าวหรือลงโทษ
แต่ด้วยใจริงแล้ว ไม่ปรารถนาจะให้ลูกของตนเดือดร้อน
ทำไปด้วยความรักความหวังดี
ปรารถนาให้ลูกของตนมีความสุขความเจริญ
มารดาบิดาจึงชื่อว่าเป็นเทวดา คือ ผู้ประเสริฐสุดสำหรับลูก
ท่านไม่พยายามที่จะทำความชั่วให้ปรากฏแก่ลูก
เกรงลูกจะถือเอาแนวปฏิบัติสร้างตนในทางที่ผิด
เมื่อลูกรู้จักคุณแล้ว ทำปฏิการะตอบแทน
จึงเป็นบุญเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
เพราะเหตุที่ท่านทั้งสองบำเพ็ญตน เป็นเหมือนพระวิสุทธิเทพผู้ประเสริฐ
ซึ่งท่านไม่ปรารภถึงความผิดใดๆ ที่พวกคนพาลก่อขึ้น
มุ่งแต่ให้พวกเขามีความสุขความเจริญฝ่ายเดียว
คุณความดีของมารดาบิดาข้อนี้เอง
ท่านจึงได้นามว่า “บุรพเทวดาของลูก”

มารดา บิดา เป็นทั้งครูอาจารย์ก่อนกว่าครูอาจารย์อื่นๆ
เป็นผู้แนะนำอบรมสั่งสอนให้ลูกรู้จักกิน นอน พูด ทำ
รู้จักดีชั่ว ควรไม่ควร เป็นทั้งผู้สอนและผู้ฝึกหัดให้ทุกอย่าง
ท่านจึงสงเคราะห์มารดาบิดาว่าเป็นบุรพทิศในทิศ ๖
คุณความดีข้อนี้เอง ท่านจึงได้นามว่า “บุรพาจารย์ของลูก”

มารดา บิดา เป็นผู้มีพระคุณหลายประการดังกล่าวมาแล้ว
เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด เป็นทั้งผู้เลี้ยงดูให้อุปการะและสั่งสอน
จนเป็นผู้สมควรอย่างยิ่งที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ จะพึงนำสักการะ
มีอาหารและผ้าผ่อนท่อนสไบ เป็นต้น
มาบูชาเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน
เพราะเมื่อสักการะบูชาท่านแล้ว ย่อมได้ผลานิสงส์มาก
เหมือนได้สักการะบูชาแด่พระอรหันต์ขีณาสพ
ท่านจึงได้นามว่าเป็น “อาหุเนยยบุคคลของลูก"

มารดา บิดา เป็นทั้งผู้สร้าง และผู้อุปถัมภ์ เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูกแล้ว
ก็ต้องรับภาระเป็นผู้อนุเคราะห์เลี้ยงดูอีก ไม่ทอดทิ้ง
พยายามที่จะเสกสรรปั้นแต่งลูกของตนให้เป็นคนดี
เพราะเหตุนี้เอง พระมหามุนีศาสดาจารย์
จึงตรัสแก่คฤหบดีบุตรชื่อ สิคาลกะว่า ดูกร คฤหบดีบุตร
มารดาบิดาพึงอนุเคราะห์บุตรของตนโดยสถาน ๕ คือ

๑. ป้องกันบุตรธิดามิให้ทำความชั่ว
๒. ส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย

เพราะมารดาบิดา มีพระคุณอันใหญ่หลวงดังกล่าวมานี้
ผู้เป็นลูกจึงต้องคำนึงระลึกถึงเสมอ และหาทางตอบแทนพระคุณ
แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสนองพระคุณของพระชนนี
เพื่อชดใช้ค่าข้าวป้อนและค่าน้ำนม
โดยเสด็จไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพ
แล้วทรงแสดงพระอภิธรรมโปรด จึงเป็นเนตติแบบอย่างอันดี
สำหรับพุทธบริษัทผู้เคารพนับถือในพระองค์ จึงพึงปฏิบัติตาม
ถ้าหวังจะบำเพ็ญตนเป็นลูกที่ดี
จึงเป็นการสมควรแล้ว ที่จะหาทางสนองพระคุณท่าน
ตามฐานะและโอกาส ด้วยการเลี้ยงดูท่านให้ได้รับความสุข
เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อท่านผู้ดำรงอยู่ในฐานะบุพการี
ผู้ทำอุปการให้แก่ตนก่อน
ข้อนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่คฤหบดีบุตร ชื่อ สิคาลกะ ว่า
ดูกร คฤหบดีบุตร เมื่อมารดาบิดา
ได้อนุเคราะห์บุตรธิดาโดยสถาน ๕ แล้ว
บุตรธิดาพึงปฏิการะตอบแทนโดยสถาน ๕ เช่นเดียวกัน คือ

๑. ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
๒. ช่วยทำกิจของท่าน ไม่ดูดาย
๓. ดำรงวงศ์สกุล ไม่ให้เสื่อม
๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรได้รับมรดก
๕. เมื่อท่านล่วงลับไป ทำบุญอุทิศให้แก่ท่าน

ทั้ง ๕ สถานนี้ สถานต้นเป็นข้อที่ผู้เป็นลูกควรทำ
เพราะเราเจริญเติบโตได้ก็อาศัยที่ท่านมีเมตตาจิตให้การเลี้ยงดู
เมื่อท่านแก่เฒ่าลงจึงเป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงเลี้ยงดูท่าน
เป็นการตอบแทน เป็นการชดใช้หรือทดแทนพระคุณท่านที่ทำไว้ก่อน
มีภาษิตบทหนึ่งสำหรับเตือนใจผู้เป็นลูก
ให้ทดแทนพระคุณท่านด้วยการเลี้ยงดูว่า
อันทิศเบื้องหน้า บิดามารดาพึ่งอาศัย
อย่าได้ดูถูก หมั่นปลูกอาลัย หมั่นเลี้ยงท่านไป ตราบม้วยชีวา
การเลี้ยงท่านนั้น ท่านแสดงไว้ ๒ ประการ คือ

๑. การเลี้ยงภายนอก ได้แก่ การอุปฐากอย่างต่ำ
๒. การเลี้ยงภายใน ได้แก่ การอุปฐากอย่างสูง

การเลี้ยงภายนอกนั้น ได้แก่ การจัดหาข้าวปลาอาหาร
และผ้าผ่อนท่อนสไบให้แก่ท่าน
เป็นการเลี้ยงและให้ความสุขทางกายแก่ท่าน
อันนับว่า เป็นอามิสบูชา เป็นส่วนการอุปฐากอย่างต่ำ

ส่วนการเลี้ยงดูภายในนั้น ได้แก่ การเลี้ยงดูน้ำใจท่าน
โดยเป็นผู้เชื่อฟังตั้งอยู่ในคำสั่งสอนไม่ขัดข้อง
ทั้งเป็นผู้หาโอกาส ทำให้ท่านเป็นผู้มีจิตใจ เป็นผู้เจริญด้วยคุณธรรม
หาทางนำท่านผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา
ผู้ไม่มีศีลให้มีศีล ผู้ไม่มีจาคะการบริจาค ให้มีจาคะการบริจาค
ผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญา
ดังพระสารีบุตรเถระเจ้าแนะนำมารดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
นับว่าเป็นปฏิบัติบูชา เป็นส่วนแห่งการอุปฐากอย่างสูง

ลูกบางคนเลี้ยงมารดาบิดา เพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ
ไม่คำนึงถึงพระคุณเป็นส่วนใหญ่
การทำเช่นนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการสนองพระคุณท่าน
อันเป็นส่วนกตัญญูกตเวทีเลย
หากมารดาบิดาไม่มีทรัพย์สมบัติแล้ว
ลูกก็ไม่เลี้ยงดูนำพาปล่อยให้เป็นอยู่ตามยถากรรม
ลูกเช่นว่านี้เป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้จักคุณ

เพราะเหตุนั้นการเลี้ยงดูท่าน
จึงเป็นหลักอันสำคัญที่ลูกผู้กตัญญูกตเวทีจะพึงทำ
เพราะเป็นเหตุนำมงคลคือความเจริญมาให้
ดังพระศาสดาตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า

มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นมงคลอย่างสูงสุด
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องและสรรเสริญผู้เลี้ยงมารดาบิดาไว้มาก
แม้ภิกษุผู้บวชในพระธรรมวินัย ก็ยังทรงอนุญาตให้เลี้ยงมารดาบิดาได้
เที่ยวบิณฑบาตได้อาหารมา แม้ตนเองมิยังไม่ได้ฉันก็ให้แก่มารดาบิดาได้
ไม่ชื่อว่าทำศรัทธาไทยของทายกให้เสียไป ทั้งไม่มีโทษทางพระวินัยด้วย
การช่วยเหลือทำกิจการงานของท่านนั้น เป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงกระทำ
เพราะเป็นการผ่อนแรงท่าน ที่ตรากตรำหาเลี้ยงเรามา
ไม่ทำตนเป็นคนดูดาย เอาแต่เที่ยวเตร่หาความสนุกสนาน
ปล่อยให้ท่านทั้งสองทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำไปตามลำพัง
อย่างน้อยผู้เป็นลูกต้องนึกบ้างว่า มารดาบิดาของลูกทุกคน
เมื่อมีลูกก็ย่อมปรารถนาหวังพึ่งพาอาศัยบ้าง
โบราณภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“มีลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย
ยามเจ็บไข้จะได้ฝากไข้ ยามตายจะได้ฝากผี เวลาดีๆ เอาไว้ใช้สอย”

ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่ลูกไม่พึงละเลย
ในการช่วยเหลือทำกิจการงานของท่าน
ส่วนการประพฤติตนเป็นคนดี
เมื่อรักษาวงศ์สกุลของตนไม่ให้เสียหาย
และการประพฤติตนให้เป็นคนสมควรรับ
และปกครองทรัพย์มรดกของท่านนั้น ก็ล้วนเป็นหลักสำคัญทั้งนั้น
นอกจากจะเป็นการทำตนให้เจริญแล้ว
ยังเป็นการทำให้ท่านพอใจและเกิดความสุข
อันเป็นการเลี้ยงน้ำใจท่านด้วย

ส่วนประการหลังนั้น เป็นการสนองพระคุณครั้งสุดท้าย
แม้จะเป็นการทำลับหลังก็ตาม ก็เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า
ตนเป็นลูกกตัญญูกตเวที ไปลืมความดีที่ท่านทำไว้แก่ตน
ขวนขวายที่จะทำตอบแทนในเมื่อมีโอกาส
เป็นการประกาศให้ทราบว่าเป็นคนหน้าคบหาสมาคม
แม้ฝ่ายหนึ่งล่วงลับไปแล้ว ก็ยังระลึกถึงและหาทางสนองคุณ
ฉะนั้นเมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปจึงเป็นหน้าที่
ที่ลูกต้องทำบุญอุทิศให้โดยแท้
ถ้าอยากเป็นลูกดี ก็ควรนึกถึงภาษิตเตือนใจบทหนึ่งที่ว่า

ลูกไม่ดี มีเท่าไร ไม่คุ้ม
ดุจลูกตุ้ม แกว่งไกว ไพร่สถุล
แต่ลูกดี มีหลัก รู้จักคุณ
หมั่นทำบุญ อุทิศให้ เมื่อวายปราณ.

การทดแทนพระคุณมารดาบิดานั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้
ในมาตาปิตุคุณสูตรทุตนิบาต อังคุตตรนิกาย ความว่า

ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว การทำตอบแทนได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง
ท่านทั้งสองนั้นคือใคร? คือมารดาบิดา
บุตรพึงประคับประคองมารดาบิดาด้วยบ่าขวาบิดาด้วยบ่าซ้าย
เขามีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี และเขาพึงบำรุงมารดาบิดานั้น
ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด
และท่านทั้งสองนั้นพึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดบนบ่าทั้งสอง
นั่นแหละภิกษุทั้งหลาย อนึ่งบุตรพึงสถาปนามารดาบิดาไว้
ในราชสมบัติอันเป็นอิสราธิปัตย์แห่งแผ่นดินใหญ่นี้
อันมีรัตนะ ๗ ประการมากมาย
กิจอย่างนั้นยังไม่เป็นอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแล้วแก่มารดาบิดานั้นเลย
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ภิกษุทั้งหลาย เพราะมารดาบิดา
เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง
แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย

ภิกษุทั้งหลาย
ก็บุตรใดและยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้ดำรงมั่นอยู่ในศรัทธา
ยังมารดาบิดาที่ทุศีลให้สมาทานดำรงมั่นอยู่ในศีล
ยังมารดาบิดาตระหนี่เหนียวแน่น ให้ดำรงมั่นอยู่ในจาคะ
ยังมารดาบิดาผู้ไร้ปัญญา ให้สมาทานดำรงมั่นอยู่ในปัญญา
ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้มีประมาณเท่านี้แหละ
กิจนั้นจึงชื่อว่า เป็นอันบุตรทำแล้ว ทำตอบแทนแล้ว
ทำยิ่งแล้วแก่มารดาบิดา ดังนี้
เมื่อลูกทำได้ดังแสดงมานี้ จึงชื่อว่าเป็นการทดแทนพระคุณท่าน
เป็นเหตุให้บุตรได้รับผลานิสงส์หลายประการคือ

๑. เป็นมงคล คือมีความสุขความเจริญแก่ชีวิต

๒. เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์

๓. เป็นเหตุให้ปฏิบัตินั้นพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
เพื่อจะแสดงอานิสงส์ของบุตรเพื่อเลี้ยงมารดาบิดานั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องพญานกแขกเต้า
บรมโพธิสัตว์ เป็นอุทาหรณ์ ความว่า

ดังได้ยินมาแต่กาลก่อน พระบรมโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า
อาศัยอยู่ป่าไม้งิ้ว แถบไหล่เขา
วันหนึ่งพาบริวารไปหาอาหารยังป่าหิมพานต์
เพื่อเลี้ยงมารดาบิดาของตน
ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าโกสิยะพราหมณ์ อาศัยอยู่ในสาลิยะคาม
พราหมณ์ได้ใช้บริวารไปหว่านข้าวสาลี
ในเนื้อที่ประมาณ ๗๐๐๐ ไร่ แล้วให้บริวารอยู่รักษา
พระโพธิสัตว์ก็พาบริวารไปลงในนาของโกสิยะพราหมณ์
ฝูงนกแขกเต้าทั้งหลาย กินอิ่มแล้วบินมาแต่ปากเปล่า
ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้ากินแล้วก็คาบรวงข้าวมาเลี้ยงมารดาบิดาทุกๆ วัน
บุรุษที่รักษานาข้าวสาลี จึงไปบอกแก่โกสิยะพราหมณ์ พ
ราหมณ์ก็สั่งให้จับพญานกแขกเต้าทั้งเป็น อย่าฆ่าให้ตาย
บุรุษผู้รักษานาก็ทำบ่วงแล้วดักพระโพธิสัตว์ จับพระโพธิสัตว์ได้
มัดมาให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงไต่ถามว่า ดูกรท่านผู้เป็นปักษี
ท่านมาคาบรวงข้าวสาลีของเราไปทุกๆ วัน
ท่านมีความโกรธเคืองเราหรือๆ
ท่านนำไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้เป็นประการใด

พระโพธิสัตว์จึงแจ้งว่า เรามิได้โกรธเคืองท่าน ยุ้งฉางสำหรับใส่ก็ไม่มี
เรานำข้าวสาลีของท่านไปเพราะเหตุ ๓ ประการ คือ

๑. เอาไปใช้หนี้เก่า
๒. เอาไปฝังไว้
๓. เอาไปให้เขายืม

พราหมณ์จึงถามว่า เอาไปใช้หนี้เก่าก็ดี เอาไปฝังไว้ก็ดี
เอาไปให้เขายืมก็ดี ท่านทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์บอกว่า

เอาไปใช้หนี้เก่า นั้นคือเอาไปเลี้ยงมารดาบิดาที่ชราหากินไม่ได้
ท่านเลี้ยงเรามาไว้เติบใหญ่
เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าหนี้เราควรเลี้ยงดูท่านเหมือนเป็นลูกหนี้
เพราะฉะนั้น เราจึงคาบรวมข้าวสาลีไปให้แก่มารดาบิดาทุกวัน

เอาไปฝังไว้ นั้นคือไปให้นกทั้งหลายที่เจ็บไข้
และมีขนปีกยังอ่อนหากินไม่ได้ ให้เป็นทานการกุศล

เอาไปให้เขายืม นั้นคือเอาไปให้ลูกยังอยู่ในรังยังหากินไม่ได้
นานไปเขาโตใหญ่ เขาจะเลี้ยงเราเมื่อแก่ชรา

พราหมณ์ทราบดังนั้น มีความโสมนัสยินดี
บอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า นับแต่นี้ไป
เราจะมอบนาข้าวสาลีให้ท่าน จงพาบริวารมากินเถิด
แล้วแก้เชือกที่มัดเท้าออกให้
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็รู้จักประมาณ รับเอาเพียงเนื้อที่ ๘ ไร่เท่านั้น
แล้วให้โอวาทแก่พราหมณ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต
ลงพราหมณ์ไปสู่ป่าไม้งิ้วอันเป็นที่อยู่แห่งตน

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงมารดาบิดานั้น เป็นมงคล
คือ เป็นความดีสำหรับผู้ปฏิบัติ ดังเช่นพระยานกแขกเต้า
ได้รับนาข้าวสาลีจากพราหมณ์ ไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป
เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์ คือ ผู้รู้
ดังเช่นพญานกแขกเต้าได้รับการสรรเสริญจากโกสิยะพราหมณ์
เป็นเหตุทำตนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
เหมือนพญานกแขกเต้าได้รับอิสระ
พ้นจากเครื่องพันธนาการของพราหมณ์

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายหญิงชายที่เกิดมาจงอย่าได้ประมาท
จงปฏิบัติมารดาบิดาให้มีความสุข ทั้งส่วนที่เป็นอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา
เพราะเหตุว่ามารดาบิดา เป็นผู้มีคุณมาก
จะเอาแผ่นดินและน้ำ ท้องฟ้าอากาศและเขาสุเมรุราช
มาชั่งด้วยคุณมารดาบิดาเบากว่า
และยังชื่อว่าผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย

แข่งบุญวาสนาเราแข่งกันไม่ได้
ภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงษ์
ยามบุญลงหงษ์เป็นกาหน้าฉงน
น้ำไม่เซาะเกาะไม่พังพึงวังวน
วิสัยผลที่จะผลิตเพราะเหตุมี
หรือดังคำพังเพยที่กล่าวว่า
เวลาบุญมา ปัญญาก็ช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก
เวลาบุญไม่มา ปัญญาก็ไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย
สิ่งทั้งหมดที่มันปรากฏการณ์อยู่แก่ตัวเราในปัจจุบัน
มันเป็นผลที่ไหลมาจาเหตุจากภพก่อนทั้งนั้น
สมดังคำพระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะมาณพว่า

เยธมฺมาเหตุปพฺพวา เตสํเหตุ ํ ตถาคตโต
ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากเหตุ
คือ มีเหตุเป็นแดนเกิด

"ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลา ไม่ยอมออกดอกออกผล ก็ต้องโค่นทิ้ง
คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่ไม่ยอมตอบแทนคุณพ่อแม่ก็เป็นคนหนักแผ่นดิน
ทองคำแท้หรือไม่โดนไฟก็รู้ คนดีแแท้หรือไม่  ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริง ต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยง แสดงว่าดีไม่จริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊"

พระคุณของพ่อแม่
 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า  ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านนั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
 ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ  ยอดเขาพระสุเมรุแแทนปากกาน้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่  จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
 บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ
    ๑.เป็นต้นฉบับทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่นก้อนดินเหนียวธรรมดา  ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีกเช่นแบบเป็นพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียว ก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแแบบที่พิมพ์นั่นเอง ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง มัา วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้แบบเป็นคน ซึ่งเป็นโครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำความดีทุกประการ พระคุณขงอพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้วยิ่งท่านอบรม เลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกนันต์
       ๒.เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก

สมญานามของพ่อแม่
 สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก  เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
    -พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมธรรม ๙ ประการได้แก่
        ๑.มีเมตตา  คือ  มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
        ๒.มีความกรุณา คือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
        ๓.มีมุทิตา คือ เมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
        ๔.มีอุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม  แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษา ให้เมื่อลูกต้องการ
    -พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก  เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ  ได้แก่
         ๑.เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยาก ได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน
         ๒.เป็นพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
         ๓.เป็นเนื้อนาบุญของลูก มีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
         ๔.เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก

คุณธรรมของลูก
 เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่านคุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีกคือตอบแทนคุณท่าน ในทางศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้น  ๆ แต่จับความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า "กตัญญู กตเวที"คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒  คำนี้
 กตัญญู หมายถึงเห็นคุณท่าน  คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา  ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาว ๆไปเท่านั้น
 คุณของงพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อจะอุปกาะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ  แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใด ๆ เลย  เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็เล่มเดียวยัง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว  โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มีแต่ทั้ง ๆที่ไม่มี ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผลอย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละเรียกว่า"กตัญญู" เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้นเท่านั้น

 กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ
    ๑.ประกาศคุณท่าน
    ๒.ตอบแทนคุณท่าน
 การประกาศคุณท่าน หมายถึง  การทำให้ผุ้อื่นรู้ว่า พ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมากไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก   การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก  ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือ ที่ตัวเรานี่เอง
 คนเราทุกคนคือตัวแทน ของพ่อแม่ตนทั้งนั้น   เลือดก็แบ่งมาจากท่านเนื้อก็แบ่งมาจาท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละจะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุด หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาสศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อยแต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
 พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรัท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านซิประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ดจะทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร
 ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา  คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
    ๑.เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่านเลี้ยงดูท่านตอนเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
    ๒.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
 แม้เราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว  ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญที่ท่านมีต่อเรา

ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
    ๑.ถ้าท่านยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    ๒.ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ท่าน  ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    ๓.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
 เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธาการให้ท่าน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนา เป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ประพฤติปฏิบัติเองทั้งในภพนี้ ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา
๑.ทำให้เป็นคนมีความอดทน
๒.ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
๓.ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
๔.ทำให้พ้นทุกข์
๕.ทำให้พ้นภัย
๖.ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
๗.ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
๘.ทำให้เทวดาลงรักษา
๙.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
๑๐.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
๑๑.ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
๑๒.ทำให้มีความสุข
๑๓.ทำให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง  

ไม่มีความคิดเห็น: